ตำนานดอยเต่า ตอน2
“ จะเล่าขานตำนานดอยเต่า มีเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผ่านมา สองพันห้าร้อยเจ็ดทุกข์ยากหนักหนา หนีตายออกมาจากบ้านเกิดริมน้ำปิง”
สมัยก่อนสภาพเศรษฐกิจของเมืองดอยเต่า ไม่แตกต่างไปจากเมืองล้านนาทั่วไป มีการดำรงชีวิตด้วยการทำนา ปลูกข้าว หาปลา เลี้ยงครั่ง ตามที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงอันอุดมสมบูรณ์ การทำนามีการลงแขกช่วยเหลือกัน( ประเพณีฮอมแฮง ) ในบางครั้งก็มีการจ้างงานบ้าง เพื่อนบ้านไม่มีข้าวกินก็หยิบยืมกันได้ เมื่อปลูกข้าวได้ก็นำมาใช้คืนไม่มีดอกเบี้ย เป็นสังคมที่โอบอ้อมอารีย์ มีแต่ความสุข ช่วยเหลือกันไม่แข่งขันกัน ในปี พ.ศ. 2500 ค่าจ้างแรงงานทั่วไปของคนดอยเต่า ตกวันละ 5 บาท ก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 สตางค์ ข้าวสารราคาลิตรละ 2 บาท เงินที่ใช้ในสมัยนั้นจะใช้เงินใบละ 1 บาท , 5 บาท และ 10 บาท สินค้าที่ขึ้นชื่อของเมืองดอยเต่าในสมัยนั้น คือ ข้าว ครั่ง หอม กระเทียม ปลาแห้ง ถั่วลิสง และอ้อย ใครที่เลี้ยงครั่งในสมัยนั้นจะเป็นผู้มีเงินร่ำรวย 1
…ในการอพยพจากพื้นเดิมชาวดอยเต่าจะได้ค่าชดเชยที่ดินไร่ละ 400 บาทและต้องไปรับเงินที่อำเภอจอมทองซึ่งสมัยนั้นการเดินทางจากดอยเต่าไปจอมทองลำบากมากต้องไปนอนค้างคืน การจ่ายเงินก็ไม่เป็นระบบชาวดอยเต่าจึงใช้วิธีให้ผู้อื่นไปรับแทนโดยให้ค่าตอบแทนไร่ละ 25-30 บาท (สัมภาษณ์ พ่อจู ไชยวงศ์ , อายุ 96 ปี บ้านเลขที่ 14 หมู่ที่ 4 ต. โปงทุ่ง อ. ดอยเต่า จ. เชียงใหม่ ) จะเห็นว่าระบบนายหน้าของชาวดอยเต่ามีมานานแล้ว
ก่อนที่จะนำเสนอเส้นทางการอพยพของชาวดอยเต่าในอดีตจากหมู่บ้านเก่าตามลุ่มแม่น้ำปิงไปหมู่บ้านที่สร้างขึ้นใหม่โดยคนรุ่นเก่า ขอนำเสนอประวัติของแต่ละหมู่บ้านและเหตุการณ์ก่อนน้ำจะท่วมบ้านเรือนท่วมไร่ท่วมนาให้ทุกท่านได้ทราบตามคำบอกเล่าของผู้สูงวัยที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยจะเริ่มจากบ้านที่อยู่ใต้สุดไล่ขึ้นมาถึงเหนือสุดพอสังเขป ดังนี้
ติดตาม ตอนที่ 3… ต่อไป
.
1 สัมภาษณ์นายเมืองแก้ว